ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ กรณีทหารอียิปต์หนีการกักกันตัวจากโรงแรมในจังหวัดระยอง ลูกเจ้าหน้าที่การทูตซูดานกักกันตัวในคอนโดย่านถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ
ได้ปรากฏปฏิกิริยาของคนไทยเป็นห่วงใยในสถานการณ์ของโรคระบาดรุนแรงอย่างมาก ปรากฏในสื่อสังคม (Socail media) วิพากษ์วิจารณ์เล่นงานรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รุนแรงขนาดต่อว่า “ไม่ให้ประชาชนการ์ดตกแต่รัฐบาลกลับการ์ดตกเสียเอง” “ออกไปจากการบริหารราชการแผ่นดินได้แล้ว”
ทำไมสังคมไทยจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้สูงมาก เกิดการตื่นตระหนก ด่าว่ารัฐบาล เล่นงาน ศบค.ย่อยยับ
พอจะวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้
๑) รัฐบาลโดย ศบค.และแพทย์ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับประชาชนคนไทยเป็นวงกว้าง ถึงอันตรายและความเลวร้ายของเชื้อไวรัส COVID-19 ปิดกิจการ ปิดงานปิดการ ปิดบ้านปิดเมือง ให้อดทนกักตัว “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”
ประชาชนคนไทยพร้อมใจปฏิบัติตามคำขู่ด้วยความตระหนก ยอมเสียเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม ด้วยต้นทุนที่เกิดขึ้นกับประชาชนมากมหาศาลดังกล่าว อัตราการติดเชื้อโควิด-19 จึงได้ลดน้อยถอยลงตามลำดับ ศบค.ก็ยังชักจูงด้วยจิตวิทยาสังคมให้ช่วยกันลดตัวเลขผู้ติดเชื้อจากหลักสิบเป็นหลักหน่วย และอยากเห็นตัวเลขเป็นศูนย์ เมื่อตัวเลขเป็นศูนย์ก็อยากเห็นความต่อเนื่องให้ถึง ๒๘ วัน
รัฐบาลโดย ศบค.ได้มีมาตรการผ่อนคลายตามลำดับ จนกระทั่งกิจการประเภทคลับ บาร์ อาบอบนวด เปิดบริการได้ ผู้คนเริ่มมั่นใจว่าภายในราชอาณาจักรไทยปลอดเชื้อโควิด-19 แล้ว
กาลเวลาแห่งความยากลำบากยาวนานหลายเดือน ผ่านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพ.ร.ก.ถึงสองครั้ง จนถึงการติดเชื้อเป็นศูนย์ติดต่อกัน ๕๐ วัน รัฐบาลโดย ศบค.ได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์มีมาตรฐานการปฏิบัติใหม่สำหรับกลุ่มบุคคลบางประเภทที่จะเข้าประเทศไทยเป็นพิเศษที่ประชาชนเรียกว่ากลุ่ม “VIP” ก่อนหน้าที่คนระดับสูงผู้บัญชาการกองทัพบกสหรัฐอเมริกาจะมาเยือน และตามมาด้วยทหารจากอียิปต์ที่เกิดเหตุ
ประชาชนจึงเกิดความกลัว เพราะรัฐบาลการ์ดตกเสียเอง
๒) ขณะที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ยาวนานคู่ขนานกับสถิติการติดเชื้อในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และที่อื่นๆ มีผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอย่างทวีคูณคนไทยเกิดความรู้สึกทั้งกลัวคนต่างชาติ และเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จที่ไทยเป็นประเทศ
อันดับต้นๆ ของโลก
แต่แล้วความภาคภูมิใจก็อาจสลายหายไป อาจเกิดการระบาดในรอบสอง ดังที่เคยถูกขู่ให้ระมัดระวัง อารมณ์ผิดหวังอย่างรุนแรงกับกฎเกณฑ์ของรัฐบาลและ ศบค.จึงเกิดขึ้นได้
๓) ผู้สร้างปัญหาเป็น VIP จึงได้ยินคำว่าอภิสิทธิ์ชน ดังกระหึ่มทั่วทั้งสื่อสังคมและสื่อมวลชน
หากจะเปรียบเทียบกับชาวบ้านจากประเทศกัมพูชา สปป.ลาวและเมียนมา ที่ลักลอบเข้าตามแนวตะเข็บชายแดน ซึ่งมีจำนวนมาก นับแต่ ๑ มิถุนายน จนถึงปัจจุบันถูกจับกุมไปแล้วมากว่าสามพันรายที่ลักลอบก่อนหน้านั้น และที่ยังจับกุมไม่ได้ก็ยังมีอีกจำนวนมาก การลักลอบเข้าประเทศเหล่านี้ต่างหลบหนีการกักกันตัว ๑๔ วันทั้งสิ้น
ประชาชนคนไทยต่างรู้ว่ามีความเสี่ยงที่จะนำเชื้อโควิด-19 มาแพร่ระบาด แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับน้อยและเบาบางกว่ากรณีของบุคคลระดับสูง VIP ที่ได้รับอภิสิทธิ์ในกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนไป
การแสดงความไม่พอใจ จึงต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งถึงความไม่พอใจในการเลือกปฏิบัติกับคนระดับสูงในเรื่องของผลกระทบต่อเลือดต่อเนื้อและต่อชีวิต เพราะคนอาจคิดไปได้ว่า จะระดับใดความตายก็เท่ากัน
๔) เทคโนโลยีสื่อสังคมโซเชียลมีเดีย ทำให้รัฐบาลและพวกเราได้รับรู้ถึงปฏิกิริยาเหล่านี้ น่าจะส่งผลดีให้ต้องระมัดระวังในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่อาจมีช่องว่างช่องโหว่โดยเฉพาะการเลือกปฏิบัติ
๕) รัฐบาลและศบค.ได้ปรับตัว ปรับกฎเกณฑ์เพื่อสร้างความปลอดภัยอย่างเสมอภาค ที่ทุกคนต้องกักกันตัว ๑๔ วันในสถานที่รัฐจัดให้ และพยายามลดความกลัว ความคาดหมายของประชาชน ที่อยากจะไม่ให้มีการติดเชื้อเลย คือ การติดเชื้อเป็นศูนย์ตลอดไปซึ่งอาจสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล
ออกมาปกป้องคุ้มครองจังหวัดระยองที่ได้รับผลกระทบจากความตื่นกลัว ออกมาขอโทษ และสัญญาว่าจะเปิดเผยความจริงในรายละเอียด ที่อาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในอนาคต
โควิดกับวิกฤติเศรษฐกิจ
วิกฤติเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแน่นอน ก่อนจะย่อยยับ
รัฐบาลควรเร่งสร้างคณะผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ คล้ายทีมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อต่อสู้กับโควิด ซึ่งในความเป็นจริงทีมเศรษฐกิจจะมีความยากลำบากมากกว่าทีมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพราะในเรื่องเชื้อโรคและสุขภาพคนทั่วไปจะยอมรับและเชื่อฟังคำแนะนำจากแพทย์ สังเกตได้จากการเชื่อฟังขนาดแพทย์ให้ถอดเสื้อผ้าหรือใช้เข็มจิ้มบนก้นก็ยอมได้อย่างง่ายดาย ต่างกับเรื่องเศรษฐกิจที่คนทั่วไปมักจะคิดว่าตัวเองรู้เรื่อง และข้อแนะนำก็จะมีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์อยู่เสมอจึงจะเกิดการต่อต้าน
โฆษกที่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจและจิตวิทยามวลชน จึงเป็นสิ่งสำคัญจะต้องมีความสามารถเสมือนนายแพทย์ทวีศิลป์ แต่ต้องตระหนักว่าเป็นงานที่ยากกว่าและต้องเสียสละ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากกว่า
หาก (ผู้นำรัฐบาล) มีความชาญฉลาดจะสังเกตเห็นได้ว่า สังคมไทยในปัจจุบันลดความแบ่งแยกแบ่งฝ่าย (ไม่ยึดความแตกต่างตั้งแต่โควิดระบาด)
คนไทยตระหนักถึงภัยต่อมนุษยชาติ คือ โควิดที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในวัคซีนก็อาจมีไม่มากนัก ด้วยเหตุที่เชื้อโควิดได้กลายสายพันธุ์ไปเรื่อยๆ
วิกฤติเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นทั้งกับประเทศไทยและกลับเศรษฐกิจของโลกอย่างแน่นอน นี่ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนไทยต้องรวมตัวต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
หากผู้นำรัฐบาลจะได้นำสถานการณ์นี้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างให้ทุกคนร่วมใจต่อสู้ฟาดฟัน นำทุกฝ่ายเข้ามีส่วนร่วมในการรับรู้ปัญหาและกำหนดวิธีการแก้ปัญหา น่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะอยู่รอดของสังคมไทย
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
July 20, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/39dTjn3
คอลัมน์การเมือง - VIP เป็นเหตุ ไม่ย่อยยับ แต่จะอับจน - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://ift.tt/3d8X1Q9
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
Bagikan Berita Ini
0 Response to "คอลัมน์การเมือง - VIP เป็นเหตุ ไม่ย่อยยับ แต่จะอับจน - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"
Post a Comment